Sunday, March 30, 2008
ซิลิกอนวัลเ์ลย์ไทยเกิดไม่ได้ถ้า......
คนไทยในซิลิกอนวัลเลย์ของสหรัฐฯ สะท้อนปัญหาหลักที่ทำให้ความฝันในการสร้างซิลิกอนวัลเลย์ หรือเขตอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตในเมืองไทยยังห่างไกล ระบุคนไทยมีความสามารถแต่ยังขาดโอกาส ต่างจากซิลิกอนวัลเลย์ของจริงในสหรัฐฯที่มีเงินทุนรอคอยดาวดวงใหม่เสมอ ขณะที่การสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่ตรงจุด ทั้งเรื่องกฏหมายและการศึกษา นายเรืองโรจน์ "กระทิง" พูนผล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของกูเกิล (google) เล่าถึงซิลิกอนวัลเลย์ในสหรัฐฯ (Silicon Valley) ในฐานะคนไทยที่ใช้ชีวิตในซิลิกอนวัลเลย์ เมืองพาโลอัลโต สหรัฐอเมริกา ระบุว่าองค์ประกอบที่ซิลิกอนวัลเลย์ในสหรัฐฯแตกต่างจากที่อื่นคือความพร้อมด้านคน ด้านเทคโนโลยี เงินทุน และความกล้าเสี่ยง และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครจะลอกเลียนแบบ "ซิลิกอนวัลเลย์ไม่มีจุดกำเนิดที่ชัดเจน เกิดขึ้นเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว เป็นการยากมากที่ใครจะไปถอดแบบหรือเลียนแบบมา มันเหมือนระบบนิเวศที่ซับซ้อน เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เราไม่สามารถสร้างอวัยวะขึ้นมาได้เอง แต่ต้องใช้เวลาในการเพาะบ่ม และมันไม่ใช่นิคมอุตสาหกรรมธรรมดา" ถ้าไม่กล้าเสี่ยง กระทิงมองว่าสิ่งที่ทำให้ซิลิกอนวัลเลย์ของสหรัฐฯต่างจากที่อื่นคือความกล้าเสี่ยง เจ้าของไอเดียมีความมุ่งมั่นกล้าเสี่ยง ขณะเดียวกันนักลงทุนผู้ให้โอกาสก็กล้าเสี่ยงด้วย เจ้าของความคิดสามารถนำโครงการไปเคาะประตูเสนอขอเงินทุนได้ทันที ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทรายใหญ่อย่างอิริก ชมิดท์ ซีอีโอกูเกิล หรือเทอร์รี่ ซีเมล อดีตซีอีโอยาฮู ถึงกับสละเวลางานมาสอนนักศึกษาในโรงเรียนบริหารธุรกิจสแตนฟอร์ด เพื่อหาโอกาสลงทุนทางธุรกิจจากนักเรียนดาวรุ่ง สำหรับการผลักดันให้ภูเก็ตกลายเป็นสวรรค์ไอซีทีเพื่อดึงดูดนักลงทุน กระทิงให้ความเห็นว่าประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานพร้อมแล้วทั้งคนไอทีและโครงข่ายเว็บไซต์เทคโนโลยี Web2.0 แต่สิ่งที่ยังขาดคือกฏหมาย และการสนับสนุนจากภาครัฐ ถ้าไม่มีกฏหมาย "มีคำพูดว่า การจะสร้างซิลิกอนวัลเลย์นั้นขอเพียงมือไอทีเก่งๆ 300 รายเท่านั้น เชื่อว่าไทยเรามีมือไอทีเก่งๆเกิน 300 ด้วยซ้ำ คนมีแล้วแต่มีกฏหมายรองรับรึเปล่า ตอนนี้ประเทศไทยมีเว็บไซต์ web2.0 เยอะ มีพื้นฐานแล้วแต่จะทำให้เป็นคอมเมอร์เชียลยังไงนี่คือความท้าทาย ยืนยันว่าประเทศไทยก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ไม่ตามหลังชาติอื่น แต่สาเหตุที่ทำให้คนทำเว็บไทยไม่รวย คืองบการตลาดออนไลน์ที่ยังน้อย และความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของระบบออนไลน์ไทย" กระทิงเชื่อว่ากฏหมายและการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เพียงพอในขณะนี้ เช่นกฏหมายเรื่องสิทธิการใช้งานข้อมูลดิจิตอลของไทยที่ยังตามการเปลี่ยนแปลงในโลกไซเบอร์ยุค Web 2.0 ไม่ทัน ที่สำคัญ กฏหมายซึ่งครอบคลุมและมีประสิทธิภาพจะทำให้ระบบออนไลน์มีความปลอดภัยสูง "ต้องให้โอกาส เพราะที่สหรัฐฯเองก็ยังครอบคลุมได้ไม่หมด" กระทิงกล่าว "ยุคนี้การปิดเว็บไม่ใช่ทางออก ถ้าเว็บถูกปิดผู้ใช้ก็ไปโพสต์ที่เว็บอื่นได้" เพราะ Web2.0 นั้นมอบอำนาจให้ผู้บริโภคทุกคนสามารถเผยแพร่คอนเทนท์ของตัวเองได้อย่างเสรี ถ้าไม่มีการสนับสนุน กระทิงยกตัวอย่างการสนับสนุนของรัฐบาลประเทศเวียดนามได้อย่างน่าสนใจ เล่าว่ารัฐบาลเวียดนามสนับสนุนด้านการศึกษาด้วยการเปิดให้ชาวเวียดนามเรียนภาษาอังกฤษฟรี สิ่งที่เกิดขึ้นคือชาวเวียดนามจำนวนมากมีทักษะภาษาที่ดีขึ้น ส่งให้โอกาสของชาวเวียดนามสดใสขึ้นด้วย "อย่าให้อุปสรรค์เล็กๆอย่างภาษามาขวางการถ่ายทอดความคิดของเรา ผมเป็นคนจังหวัดกำแพงเพชรที่เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานตอนปีหนึ่งแล้วได้เกรด c มา 2 ตัว แต่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองจนกระทั่งสอบ GMAT ได้คะแนน 750" และถ้าไม่พึ่งตนเอง แม้หลายเสียงจะตอกย้ำว่าอนาคตไอทีของไทยแลนด์แพ้เวียดนามอย่างไม่เห็นฝุ่น แต่กระทิงเชื่อว่าคนไทยทำได้หากเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน "คนไทยถ้าแข่งตัวต่อตัวไม่แพ้เวียดนามหรือจีนหรอกครับ จงพึ่งตัวเราเอง อย่ามัวแต่พึ่งอัศวินม้าขาวมาช่วยเหลือ" กระทิงปลุกใจ "Web2.0 เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ได้จุดประกายให้คนไทยแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยไม่ได้อยู่ในระดับใดทั้งสิ้น คนไทยทำได้ ถึงเราตัวเล็กกว่าแต่เราก็ยกน้ำหนักชนะเค้า" ชื่อตำแหน่งของกระทิงในกูเกิลคือ Quantitative/Product Marketing Manager หน้าที่หลักคือดูแลภาพรวมการทำตลาดผลิตภัณฑ์เสิร์ชเอนจิ้นในตลาดละตินอเมริกาและเอเชีย การกล่าวถึงซิลิกอนวัลเลย์ครั้งนี้เกิดขึ้นในงานเปิดตัวหนังสือ บทเรียนธุรกิจร้อนๆจาก Silicon Valley ซึ่งกระทิงเผยว่าใช้เวลานำรายงานที่เคยเขียนสมัยเรียนมาปรับเพิ่มข้อมูลใหม่เพียง 3 เดือน และการให้ความเห็นทั้งหมดสะท้อนออกมาในฐานะคนวงในที่เป็นคนไทย ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่ที่กระทิงมีในกูเกิล กระทิงเป็นบุคคลที่น่าสนใจ ใครอยากรู้ว่าทำไมต้องชื่อกระทิง เส้นทางจากจังหวัดกำแพงเพชรสู่ซิลิกอนวัลเลย์จะขรุขระขนาดไหน ก่อนจะเข้าทำงานกับกูเกิลต้องสัมภาษณ์งานกี่รอบ สตีฟ จ็อบส์ที่กระทิงเคยพบมาดแมนเพียงใด และแนวคิดในการวางตัวแบบไทยๆให้ทำให้สามารถขึ้นเป็นผู้บริหารของกูเกิลด้วยวัยเพียง 30 ปีคืออะไร อดใจรอพบคำตอบในบทความตอนต่อไป
Monday, March 10, 2008
เส้นทางเศรษฐีเบอร์785ของโลก"Mark Zuckerberg"
เส้นทางเศรษฐีเบอร์785ของโลก"Mark Zuckerberg"
ชื่อของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ดูจะน่าสนใจมากขึ้นอีกเมื่อนิตยสาร Forbes จัดอันดับให้ซัคเกอร์เบิร์กเป็นเศรษฐีที่รวยอันดับ 785 ของโลก หลายคนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน และเส้นทางรวยล้นฟ้าด้วยวัยเพียง 23 ปีเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้จะมีบทความมากมายเขียนไขข้อข้องใจไปแล้ว แต่ผู้จัดการไซเบอร์ ก็อดไม่ได้ที่จะรวบรวมเรื่องราวของซัคเกอร์เบิร์กมาเสนออีกครั้ง
ปัจจุบัน ซัคเกอร์เบิร์กเป็นทั้งนักธุรกิจและนักเขียนโปรแกรม ดำรงตำแหน่งประธานบริหารเว็บไซต์เฟสบุ้ก Facebook.com ธุรกิจเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์มูลค่าหลายพันล้านเหรียญที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์ดเวิร์ด ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมรุ่นและเพื่อนร่วมห้องอย่าง Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes
เชื้อสายยิว-อเมริกัน
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สาราณุกรมออนไลน์ระบุว่า Mark Elliot Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1984 ปัจจุบันอายุ 23 ปี เติบโตในย่าน Dobbs Ferry รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ครอบครัวเป็นยิว-อเมริกัน เริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นเข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลายที่ Phillips Exeter Academy ในปี 2002
ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไปกลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี 2006
ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง 4 ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย
เขียนไม่ถึง2สัปดาห์?
ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 บางแหล่งข่าวระบุว่าซัคเกอร์เบอร์เขียนโปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ
แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว 2 ใน 3 แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมาซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังสถานมหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว 4 เดือน สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว 30 แห่ง
เมื่ออะไรก็ไปได้สวย ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี 2004 ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทันฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น
ห้องเช่าถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานชั่วคราว ช่วงฤดูร้อนนี้เองที่ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา 5 แสนเหรียญ สำนักงานเฟสบุ้กแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจากนั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน เฟสบุ้กมีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto จำนวน 4 อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า "urban campus" หรืออาณาจักรวิทยาลัย
มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เศรษฐีวัย 23 ปีจากโลกออนไลน์ที่นิตยสาร Forbes จัดอันดับว่าร่ำรวยเป็นอันดับ 785 ของโลก จากเด็กชายในครอบครัวยิว-อเมริกันที่เริ่มเขึยนโปรแกรมตั้งแต่ประถม 6 สู่หนุ่มนักศึกษาฮาร์เวิร์ดที่พาตัวเองและผองเพื่อนปลุกปั้นโปรเจ็ค Facebook.com บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นธุรกิจเต็มขั้น
แน่นอนว่าก่อนที่ Facebook จะทำให้ซีอีโอซัคเกอร์เบิร์กกลายเป็นเศรษฐีหนุ่มติดอันดับโลก ยังมีขวากหนามมากมายที่ซัคเกอร์เบิร์กต้องฝ่าฟันไป
Facebook นั้นเป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจและเข้าถึง ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไป ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่นๆในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น
ชาวอเมริกันที่นิยมชมชอบ Facebook มีทั้งกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียนโรงเรียนมัธยม รวมถึงคนวัยทำงาน สถิติชุมชนที่ใช้ Facebook ล่าสุดมีจำนวนหลายหมื่นชุมชน มีทั้งชุมชนเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ CIA ชุมชนพนักงานร้านแมคโดนัลด์ และกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐฯ ที่สำคัญ Facebook ยังสนับสนุนการขายสินค้าข้ามบริษัทบนเว็บไซต์ และวางเป้าหมายว่า ผู้ใช้จะสามารถค้นหาสินค้าทุกชนิดได้จากเว็บไซต์แห่งนี้ในอนาคต
วิกฤตคือโอกาส
หลังจากได้ทุนก้อนแรกจาก Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal มูลค่า 5 แสนเหรียญ ผลงานหนึ่งที่โด่ดเด่นของ Facebook.com คือบริการ News Feed เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน 5 กันยายน 2006 ไม่ใช่รายการข่าวสารบ้านเมืองแต่เป็นรายการความเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อนในเว็บไซต์
ซัคเกอร์เบิร์กตกที่นั่งลำบากเนื่องจากผู้ใช้จำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับฟีเจอร์นี้ โดยผู้ใช้มองว่า News Feed ทำให้ข้อมูลส่วนตัวแพร่กระจายไปทั่วเว็บ Facebook โดยไม่ได้รับอนุญาต
ผู้ใช้ Facebook ร่วมใจประท้วงไม่เห็นด้วยกับฟีเจอร์ News Feed ราว 700,000 คนภายในไม่ถึง 48 ชั่วโมง ร้อนถึงซัคเกอร์เบิร์กต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ใช้ เพื่อขอโทษที่ละเลยการให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว และยืนยันว่าเจตนาในการออกแบบฟีเจอร์ News Feed คือเพื่อให้ข่าวสารข้อมูลแก่คนในชุมชนเดียวกันบน Facebook เท่านั้น
เมื่อทีมวิศวกรของ Facebook ลงมือปรับปรุงความเป็นส่วนตัวของ News Feed ซัคเกอร์เบิร์กระบุว่าขณะนี้ News Feed กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้นิยมไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียน Facebook
เดือนพฤศจิกายน 2007 ซัคเกอร์เบิร์กได้ฤกษ์เปิดตัวระบบโฆษณาออนไลน์ใหม่ในชื่อ Beacon เป็นระบบที่เปิดให้นักการตลาดสามารถลงโฆษณาได้ด้วยตัวเองคล้ายระบบของกูเกิล (Google) ชนวนระเบิดปะทุขึ้นอีกเมื่อระบบโฆษณา Beacon สามารถเก็บข้อมูลใช้งานเว็บไซต์ของสมาชิก Facebook ได้ ความสามารถนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า Facebook กำลังจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อีกครั้ง
ธันวาคม 2007 ซัคเกอร์เบิร์กระบุว่ากำลังดำเนินการทดสอบระบบโฆษณา Beacon อย่างจริงจัง ขออภัยในข้อผิดพลาดต่อผู้ใช้ และเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
Facebook ยังเผชิญปัญหาเดียวกับเว็บไซต์อื่นๆ คือปัญหาการฟ้องร้องว่าเป็นผลงานที่ขโมยความคิดคนอื่นมา โดยนักศึกษาฮาร์เวิร์ด 3 รายนาม Divya Narendra, Cameron Winklevoss และ Tyler Winklevoss ระบุว่าเคยว่าจ้างให้ซัคเกอร์เบิร์กเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ของพวกเขานามว่า ConnectU และกล่าวหาว่าซัคเกอร์เบิร์กขโมยแนวคิด การออกแบบ แผนธุรกิจ รวมถึงซอร์สโค้ดดั้งเดิมไป
คดีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2004 ผู้ฟ้องระบุว่าร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม และไม่มีเจตนาให้เว็บ Facebook ต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม Facebook ตัดสินใจฟ้องกลับและการพิพากษาคดียังไม่สิ้นสุดในขณะนี้
ด้านสื่อใหญ่อย่างนิวยอร์กไทมส์ เคยแสดงความเห็นว่า ซัคเกอร์เบิร์กอาจได้แนวคิดบริการมาจากเว็บไซต์ houseSYSTEM ของคุณปู่ Aaron J. Greenspan บุคคลสำคัญของสหรัฐฯก็เป็นได้
รวยเพราะหุ้น
ซัคเกอร์เบิร์กไม่ได้สร้างฐานะปึกแผ่นจากรายได้โฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักของเว็บ Facebook แต่มาจากการขายหุ้นบริษัทให้ไมโครซอฟท์ซึ่งทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น Facebook ในสัดส่วน 1.6% จากซัคเกอร์เบิร์ก ราคานี้ไมโครซอฟท์คำนวณโดยตั้งมูลค่า Facebook ไว้สูงถึง 51,000 ล้านบาท มูลค่าเทียบเท่าบริษัทจำหน่ายสินค้าชื่อดัง GAP และโรงแรมแมริออท
การตัดสินใจขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์ เกิดขึ้นหลังจาก Facebook ปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านเหรียญจากยาฮู (Yahoo) ครั้งนั้นทั้งตัวซัคเกอร์เบิร์กและนักลงทุนคนแรกของบริษัทอย่าง Thiel กล่าวตรงกันว่ายังไม่รีบร้อนขาย Facebook ให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่หรือขายหุ้นให้สาธารณชน และราคาเสนอซื้อแค่หนึ่งพันล้านเหรียญนั้นต่ำเกินไป ฐานผู้ใช้และจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ทั้งสองเชื่อว่ามูลค่าบริษัทสูงกว่าที่ยาฮูเสนอมาแน่นอน สิ่งที่ Facebook จะเลือกจึงเป็นการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและทำให้บริษัทเติบโตต่อไป
แต่เมื่อยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ตัดสินใจควักเงิน 246 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8.16 พันล้านบาท) แลกกับการครอบครองหุ้น Facebook เพียง 1.6% ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กอดใจไม่ไหว ยอมเจียดหุ้นในมือยกให้ไมโครซอฟท์แต่โดยดี
เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะการที่ไมโครซอฟท์ให้ราคา Facebook สูงกว่าผู้เสนอซื้อรายอื่นอย่างน่าสงสัย เพราะหากคำนวณราคาหุ้นที่ไมโครซอฟท์เสนอมา เท่ากับไมโครซอฟท์กำหนดมูลค่ารวมของ Facebook ไว้ถึง 1,500 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 51,000 ล้านบาท ซึ่งเซอร์เกย์ บริน ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่เสนอตัวซื้อหุ้น Facebook ด้วยเช่นกัน ระบุว่าเป็นราคาที่เกินจริง เพราะในแต่ละปีเฟซบุ๊คทำรายได้ไม่ถึง 200 ล้านเหรียญด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี การซื้อขายหุ้นระหว่างไมโครซอฟท์และซัคเกอร์เบิร์กมูลค่า 246 ล้านเหรียญ และการถือหุ้นบริษัทที่ไมโครซอฟท์ตีราคาไว้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้นิตยสาร Forbes จัดอันดับความร่ำรวยของซัคเกอร์เบิร์กไว้ที่อันดับ 785 ของโลกไปแล้ว แม้นักวิเคราะห์จะยังสงสัยในสภาพคล่องด้านการเงินของซัคเกอร์เบิร์กอยู่
แม้จะถูกสงสัยเรื่องสภาพการเงิน แต่ซัคเกอร์เบิร์กไม่เคยถูกสงสัยเรื่องฝีไม้ลายมือ ขณะนี้ Facebook กำลังเพิ่มจำนวนวิศวกรและพนักงานบริการลูกค้าเพื่อรองรับตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษที่มีอัตราเติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน และทำสถิติเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐฯ
เชื่อแน่ว่า โลกจะจับตาเศรษฐีหนุ่มวัย 23 ปีคนนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน
ข้อมูลจาก Wikipedia.com และ Manager.co.th
ชื่อของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ดูจะน่าสนใจมากขึ้นอีกเมื่อนิตยสาร Forbes จัดอันดับให้ซัคเกอร์เบิร์กเป็นเศรษฐีที่รวยอันดับ 785 ของโลก หลายคนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน และเส้นทางรวยล้นฟ้าด้วยวัยเพียง 23 ปีเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้จะมีบทความมากมายเขียนไขข้อข้องใจไปแล้ว แต่ผู้จัดการไซเบอร์ ก็อดไม่ได้ที่จะรวบรวมเรื่องราวของซัคเกอร์เบิร์กมาเสนออีกครั้ง
ปัจจุบัน ซัคเกอร์เบิร์กเป็นทั้งนักธุรกิจและนักเขียนโปรแกรม ดำรงตำแหน่งประธานบริหารเว็บไซต์เฟสบุ้ก Facebook.com ธุรกิจเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์มูลค่าหลายพันล้านเหรียญที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์ดเวิร์ด ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมรุ่นและเพื่อนร่วมห้องอย่าง Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes
เชื้อสายยิว-อเมริกัน
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สาราณุกรมออนไลน์ระบุว่า Mark Elliot Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1984 ปัจจุบันอายุ 23 ปี เติบโตในย่าน Dobbs Ferry รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ครอบครัวเป็นยิว-อเมริกัน เริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นเข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลายที่ Phillips Exeter Academy ในปี 2002
ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไปกลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี 2006
ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง 4 ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย
เขียนไม่ถึง2สัปดาห์?
ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 บางแหล่งข่าวระบุว่าซัคเกอร์เบอร์เขียนโปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ
แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว 2 ใน 3 แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมาซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังสถานมหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว 4 เดือน สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว 30 แห่ง
เมื่ออะไรก็ไปได้สวย ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี 2004 ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทันฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น
ห้องเช่าถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานชั่วคราว ช่วงฤดูร้อนนี้เองที่ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา 5 แสนเหรียญ สำนักงานเฟสบุ้กแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจากนั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน เฟสบุ้กมีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto จำนวน 4 อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า "urban campus" หรืออาณาจักรวิทยาลัย
มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เศรษฐีวัย 23 ปีจากโลกออนไลน์ที่นิตยสาร Forbes จัดอันดับว่าร่ำรวยเป็นอันดับ 785 ของโลก จากเด็กชายในครอบครัวยิว-อเมริกันที่เริ่มเขึยนโปรแกรมตั้งแต่ประถม 6 สู่หนุ่มนักศึกษาฮาร์เวิร์ดที่พาตัวเองและผองเพื่อนปลุกปั้นโปรเจ็ค Facebook.com บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นธุรกิจเต็มขั้น
แน่นอนว่าก่อนที่ Facebook จะทำให้ซีอีโอซัคเกอร์เบิร์กกลายเป็นเศรษฐีหนุ่มติดอันดับโลก ยังมีขวากหนามมากมายที่ซัคเกอร์เบิร์กต้องฝ่าฟันไป
Facebook นั้นเป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจและเข้าถึง ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไป ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่นๆในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น
ชาวอเมริกันที่นิยมชมชอบ Facebook มีทั้งกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียนโรงเรียนมัธยม รวมถึงคนวัยทำงาน สถิติชุมชนที่ใช้ Facebook ล่าสุดมีจำนวนหลายหมื่นชุมชน มีทั้งชุมชนเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ CIA ชุมชนพนักงานร้านแมคโดนัลด์ และกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐฯ ที่สำคัญ Facebook ยังสนับสนุนการขายสินค้าข้ามบริษัทบนเว็บไซต์ และวางเป้าหมายว่า ผู้ใช้จะสามารถค้นหาสินค้าทุกชนิดได้จากเว็บไซต์แห่งนี้ในอนาคต
วิกฤตคือโอกาส
หลังจากได้ทุนก้อนแรกจาก Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal มูลค่า 5 แสนเหรียญ ผลงานหนึ่งที่โด่ดเด่นของ Facebook.com คือบริการ News Feed เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน 5 กันยายน 2006 ไม่ใช่รายการข่าวสารบ้านเมืองแต่เป็นรายการความเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อนในเว็บไซต์
ซัคเกอร์เบิร์กตกที่นั่งลำบากเนื่องจากผู้ใช้จำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับฟีเจอร์นี้ โดยผู้ใช้มองว่า News Feed ทำให้ข้อมูลส่วนตัวแพร่กระจายไปทั่วเว็บ Facebook โดยไม่ได้รับอนุญาต
ผู้ใช้ Facebook ร่วมใจประท้วงไม่เห็นด้วยกับฟีเจอร์ News Feed ราว 700,000 คนภายในไม่ถึง 48 ชั่วโมง ร้อนถึงซัคเกอร์เบิร์กต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ใช้ เพื่อขอโทษที่ละเลยการให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว และยืนยันว่าเจตนาในการออกแบบฟีเจอร์ News Feed คือเพื่อให้ข่าวสารข้อมูลแก่คนในชุมชนเดียวกันบน Facebook เท่านั้น
เมื่อทีมวิศวกรของ Facebook ลงมือปรับปรุงความเป็นส่วนตัวของ News Feed ซัคเกอร์เบิร์กระบุว่าขณะนี้ News Feed กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้นิยมไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียน Facebook
เดือนพฤศจิกายน 2007 ซัคเกอร์เบิร์กได้ฤกษ์เปิดตัวระบบโฆษณาออนไลน์ใหม่ในชื่อ Beacon เป็นระบบที่เปิดให้นักการตลาดสามารถลงโฆษณาได้ด้วยตัวเองคล้ายระบบของกูเกิล (Google) ชนวนระเบิดปะทุขึ้นอีกเมื่อระบบโฆษณา Beacon สามารถเก็บข้อมูลใช้งานเว็บไซต์ของสมาชิก Facebook ได้ ความสามารถนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า Facebook กำลังจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อีกครั้ง
ธันวาคม 2007 ซัคเกอร์เบิร์กระบุว่ากำลังดำเนินการทดสอบระบบโฆษณา Beacon อย่างจริงจัง ขออภัยในข้อผิดพลาดต่อผู้ใช้ และเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
Facebook ยังเผชิญปัญหาเดียวกับเว็บไซต์อื่นๆ คือปัญหาการฟ้องร้องว่าเป็นผลงานที่ขโมยความคิดคนอื่นมา โดยนักศึกษาฮาร์เวิร์ด 3 รายนาม Divya Narendra, Cameron Winklevoss และ Tyler Winklevoss ระบุว่าเคยว่าจ้างให้ซัคเกอร์เบิร์กเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ของพวกเขานามว่า ConnectU และกล่าวหาว่าซัคเกอร์เบิร์กขโมยแนวคิด การออกแบบ แผนธุรกิจ รวมถึงซอร์สโค้ดดั้งเดิมไป
คดีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2004 ผู้ฟ้องระบุว่าร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม และไม่มีเจตนาให้เว็บ Facebook ต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม Facebook ตัดสินใจฟ้องกลับและการพิพากษาคดียังไม่สิ้นสุดในขณะนี้
ด้านสื่อใหญ่อย่างนิวยอร์กไทมส์ เคยแสดงความเห็นว่า ซัคเกอร์เบิร์กอาจได้แนวคิดบริการมาจากเว็บไซต์ houseSYSTEM ของคุณปู่ Aaron J. Greenspan บุคคลสำคัญของสหรัฐฯก็เป็นได้
รวยเพราะหุ้น
ซัคเกอร์เบิร์กไม่ได้สร้างฐานะปึกแผ่นจากรายได้โฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักของเว็บ Facebook แต่มาจากการขายหุ้นบริษัทให้ไมโครซอฟท์ซึ่งทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น Facebook ในสัดส่วน 1.6% จากซัคเกอร์เบิร์ก ราคานี้ไมโครซอฟท์คำนวณโดยตั้งมูลค่า Facebook ไว้สูงถึง 51,000 ล้านบาท มูลค่าเทียบเท่าบริษัทจำหน่ายสินค้าชื่อดัง GAP และโรงแรมแมริออท
การตัดสินใจขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์ เกิดขึ้นหลังจาก Facebook ปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านเหรียญจากยาฮู (Yahoo) ครั้งนั้นทั้งตัวซัคเกอร์เบิร์กและนักลงทุนคนแรกของบริษัทอย่าง Thiel กล่าวตรงกันว่ายังไม่รีบร้อนขาย Facebook ให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่หรือขายหุ้นให้สาธารณชน และราคาเสนอซื้อแค่หนึ่งพันล้านเหรียญนั้นต่ำเกินไป ฐานผู้ใช้และจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ทั้งสองเชื่อว่ามูลค่าบริษัทสูงกว่าที่ยาฮูเสนอมาแน่นอน สิ่งที่ Facebook จะเลือกจึงเป็นการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและทำให้บริษัทเติบโตต่อไป
แต่เมื่อยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ตัดสินใจควักเงิน 246 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8.16 พันล้านบาท) แลกกับการครอบครองหุ้น Facebook เพียง 1.6% ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กอดใจไม่ไหว ยอมเจียดหุ้นในมือยกให้ไมโครซอฟท์แต่โดยดี
เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะการที่ไมโครซอฟท์ให้ราคา Facebook สูงกว่าผู้เสนอซื้อรายอื่นอย่างน่าสงสัย เพราะหากคำนวณราคาหุ้นที่ไมโครซอฟท์เสนอมา เท่ากับไมโครซอฟท์กำหนดมูลค่ารวมของ Facebook ไว้ถึง 1,500 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 51,000 ล้านบาท ซึ่งเซอร์เกย์ บริน ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่เสนอตัวซื้อหุ้น Facebook ด้วยเช่นกัน ระบุว่าเป็นราคาที่เกินจริง เพราะในแต่ละปีเฟซบุ๊คทำรายได้ไม่ถึง 200 ล้านเหรียญด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี การซื้อขายหุ้นระหว่างไมโครซอฟท์และซัคเกอร์เบิร์กมูลค่า 246 ล้านเหรียญ และการถือหุ้นบริษัทที่ไมโครซอฟท์ตีราคาไว้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้นิตยสาร Forbes จัดอันดับความร่ำรวยของซัคเกอร์เบิร์กไว้ที่อันดับ 785 ของโลกไปแล้ว แม้นักวิเคราะห์จะยังสงสัยในสภาพคล่องด้านการเงินของซัคเกอร์เบิร์กอยู่
แม้จะถูกสงสัยเรื่องสภาพการเงิน แต่ซัคเกอร์เบิร์กไม่เคยถูกสงสัยเรื่องฝีไม้ลายมือ ขณะนี้ Facebook กำลังเพิ่มจำนวนวิศวกรและพนักงานบริการลูกค้าเพื่อรองรับตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษที่มีอัตราเติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน และทำสถิติเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐฯ
เชื่อแน่ว่า โลกจะจับตาเศรษฐีหนุ่มวัย 23 ปีคนนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน
ข้อมูลจาก Wikipedia.com และ Manager.co.th
Labels:
face book,
Facebook,
google,
hi5,
Mark Zuckerberg,
microsoft,
social networking,
yahoo
Subscribe to:
Posts (Atom)